ความเป็นมาและความสำคัญของงานวิจัย
ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์นั้น สิ่งแรกที่เราเริ่มเรียนกันก็คือ ตัวเลข
ต่อมาเราก็จะได้เรียนการบวก การลบ การคูณและการหาร ซึ่งรวมเรียกว่าการคิดคำนวณ
จะเห็นได้ว่า การคิดคำนวณนั้นเป็นพื้นฐานอย่างหนึ่งในวิชาคณิตสาสตร์
ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนต้องแก้โจทย์ปัญหา 1 ข้อ
สิ่งที่ได้จากโจทย์ก็คือ ประโยคสัญลักษณ์ (5+3= □ ) แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปนั้นคือ
การบวก ถ้านักเรียนคิดคำนวณได้ถูกต้อง นักเรียนก็จะได้คะแนน
แต่ถ้านักเรียนคิดคำนวณผิด ก็จะไม่ได้คะแนน จะเห็นว่า การคิดคำนวณ เป็นสิ่งสุดท้าย
ในการทำโจทย์คณิตสาสตร์ที่ทำให้ได้คะแนนหรือไม่ได้คะแนน
ไม่ว่านักเรียนจะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ชั้นใด
ระดับใด จะง่ายหรือจะยากมากแค่ไหน รับรองว่า ทุกคนจะได้คิดคำนวณแน่นอน ถ้าในตอนนี้
นักเรียนมีทักษะที่ไม่ดี ยิ่งเรียนในระดับที่สูงขึ้น บทเรียนก็จะยิ่งยากขึ้น
ตัวเลขในการคิดคำนวณก็จะมากขึ้น การคำนวณก็จะยากขึ้นด้วย
แต่ถ้าในเวลานี้นักเรียนมีพื้นฐานทักษะการคิดคำนวณที่ดี การพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
ก็จะเป็นไปได้ง่าย
นอกจากการคิดคำนวณจะมีความสำคัญในวิชาคณิตสาสตร์ ที่นักเรียนได้เรียนอยู่แล้ว การคิดคำนวณยังมีประโยชน์ในชีวิตประจำวันของทุกคนด้วย เช่น การซื้อของ การฝากเงินในธนาคาร หรือทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงิน ถ้าเราคิดคำนวณไม่เป็น เราก็จะถูกหลอกได้ง่าย ดังนั้นคณะผู้วิจัย จึงได้พยายามหาแนวทางที่จะช่วยให้นักเรียนมีทักษะการคิดคำนวณที่ดีขึ้น สามารถนำไปใช้ในการเรียนและในชีวิตประจำวันได้
จุดมุ่งหมาย
ให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการคิดคำนวณ สามารถคิดคำนวณได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 243 คน
ตัวแปรตาม
1. แบบฝึกหัดการคิดคำนวณ
โดยใช้กิจกรรมการเขียน
2. ระดับผลสัมฤทธิ์ของคะแนน
ก่อนเรียนและหลังเรียน
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้
1. นักเรียนสามารถคิดคำนวณได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง
2. นักเรียนสามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
ขอบเขตของการวิจัย
ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการสาร้างแบบฝึกหัด
เกี่ยวกับการคิดคำนวณ โดยใช้กิจกรรมการเขียน
เพื่อพัฒนาทักษะการคิดคำนวณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และได้กำหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ดังนี้
1. ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที 6 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จำนวน 6 ห้อง 243 คน
2. เนื้อหาที่ใช้ในการทำวิจัย เฉพาะในเรื่องของการบวก การลบ การคูณ การหาร และเลขยกกำลัง
วิธีดำเนินการวิจัย
ระยะเวลาในการดำเนินงาน
20 มิถุนายน 2546 – 7 มีนาคม 2547
ตารางดำเนินการวิจัย
วัน/เดือน/ปี |
กิจกรรม/ขั้นตอนการดำเนินงาน |
หมายเหตุ |
20 มิ.ย. 46 |
ประชุมครูทุกท่านที่ร่วมทำวิจัยเพื่อวางแผน |
|
20-30 มิ.ย. 46 |
จัดเตรียมเอกสารแบบทดสอบ
และแบบฝึกหัดการคิดคำนวณโดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนชุดเดียวกัน |
|
20-25 มิ.ย. 46 |
ปรับแผนการสอนให้สอดคล้องกับงานวิจัย |
|
26-30 มิ.ย. 46 |
เตรียมการสอนตามตามแผนการสอนที่ปรับเปลี่ยน |
|
1 ก.ค. 46 |
ทำการทดสอบก่อนเรียน |
บันทึกคะแนน |
1 ก.ค. 46 -25 ก.พ. 47 |
สอนโดยเริ่มจากทักษะที่ง่ายไปหายาก
และสอดแทรกเทคนิคคิดเลขเร็ว โดยทำการสอนในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของแต่ละคาบเรียน |
|
1 ก.ค. 46 -25 ก.พ. 47 |
ทำแบบฝึกหัดที่เตรียมไว้
โดยทำแบบฝึกหัดในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของแต่ละคาบเรียน |
บันทึกคะแนน |
26-29 ก.พ. 47 |
ทำการทดสอบหลังเรียน |
บันทึกคะแนน |
1-5 มี.ค. 47 |
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล |
|
6-7 มี.ค. 47 |
สรุปผลการวิจัย |
|
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1. แบบทดสอบก่อนเรียน หลังเรียน จำนวน 10 ข้อ
2. แบบฝึกหัดการคิดคำนวณ จำนวน 15 ชุด ชุดละ 5 ข้อ
ชุดที่ 1-6 เรื่องการบวก – ลบ
ชุดที่ 7-9 เรื่องการคูณ
ชุดที่ 10-12 เรื่องการหาร
ชุดที่ 13-15 เรื่องโจทย์ระคน
สถิติที่ใช้ในการวิจัย
1. การหาค่าเฉลี่ย
2. การหาค่าร้อยละ
การวิเคราะห์ข้อมูล
จากการศึกษาวิจัยในชั้นเรียน
และศึกษาจากกลุ่มนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 254โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จำนวน 243 คน คณะผู้วิจัย ได้ใช้แบบทดสอบทำการทดสอบก่อนเรียน จำนวน 10 ข้อ หลังจากนั้น ได้สอนหลักการคิดคำนวณ พร้อมกับทำแบบฝึกหัดทั้งหมด 15 ชุด ๆละ 5 ข้อ และใช้แบบทดสอบ
ทำการทดสอบหลังเรียน จำนวน 10 ข้อ
จากผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ คือ
จาการศึกษาวิจัยในเรื่องการส่งเสริมความสามรถในการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์
ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง จะเห็นได้ว่านักเรียนมีทักษะในการคิดคำนวณดีขึ้น
ดังจะเห็นได้จาก คะแนนทดสอบหลังเรียนที่มากกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียนของแต่ละห้อง
แต่จากคะแนนของนักเรียนแต่ละคนก็ยังมีนักเรียนบางคนที่ได้คะแนนเท่าเดิม
บางคนได้คะแนนน้อยกว่าเดิม แต่โดยส่วนมากแล้วนักเรียนจะมีคะแนนสูงขึ้น
ทำให้ค่าเฉลี่ยของคะแนนสูงเพิ่มขึ้นด้วย
และในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ยังพบอีกว่า นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มนี้ มีความสามารถในการคิดคำนวณด้านการบวก – ลบ ได้ดีที่สุด รองลงมา คือ การหาร รองลงมาอีก คือ การคูณ และที่ทำได้น้อยที่สุด คือ โจทย์ระคน ถึงแม้ว่านักเรียนจะทำคะแนนได้สูงขึ้นก็จริง แต่ควรมีการพัฒนาในส่วนของการทำโจทย์ระคนให้ดียิ่งขึ้น เพราะในระดับที่สูงขึ้นกว่านี้เราจะพบโจทย์ระคนเป็นส่วนมาก
ข้อคิดที่ได้จากการวิจัย
1. ควรมีการวัดระดับความสามารถในการคิดคำนวณในทุกระดับชั้น
เนื่องจากการคิดคำนวณเป็นพื้นฐานในวิชาคณิตศาสตร์
ถ้านักเรียนในระดับเล็กไม่เข้าใจจนถึงระดับที่สูงขึ้นการแก้ปัญหาจะเป็นไปได้ยาก
เพราะในระดับสูงผู้สอนจะไม่กวดขันในเรื่องการคิดคำนวณแล้ว แต่จะเน้นในส่วนของบทเรียนมากกว่า
2. ควรจัดเวลาเพิ่มให้กับนักเรียน โดนเน้นเฉพาะเรื่องการคิดคำนวณ
fullWidth