งานวิจัยเรื่องการทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์





💢💢บทความนี้ วิทยฐานะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 


ขอแนะนำไฟล์  งานวิจัย


เรื่องการทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์


  ไฟล์เวิร์ด แก้ไขได้💢💢  



สรุปรายละเอียดพอสังเขป ได้ดังนี้ ครับ


วิจัยในชั้นเรียน  เรื่อง  การทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์  เรื่อง ก๊าซ  ของเหลวและของแข็ง  

 ในการพัฒนาการเรียนรู้รายวิชาเคมี  ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5   ปีการศึกษา 2548


ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

ในปัจจุบันนี้คอมพิวเตอร์ถือเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในทุกทุกด้าน ดังเช่นด้านการศึกษาคอมพิวเตอร์มีส่วนช่วยในการนำเสนอสิ่งต่าง ๆ  ได้อย่างน่าสนใจและเป็นระบบ  และเป็นระบบมัลติมีเดีย ทำให้เกิดความเพลิดเพลินจากสีสัน  เสียงและรูปแบบในการนำเสนอ  ทำให้ผู้ที่ทำการเรียนรู้  เกิดประสบการณ์และมีกระบวนการในการเรียนรู้ที่เป็นระบบและเกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น  อีกทั้งยังสามารถใช้ในการทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีกเป็นอย่างดีเมื่อต้องการศึกษาเพิ่มเติม มีข้อสอบเพื่อใช้ทดสอบความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อผู้เรียนได้หัดทำข้อสอบมากเท่าไรก็ตามผู้เรียนก็จะเกิดการเรียนรู้และมีความชำนาญและเกิดเป็นประสบการณ์ทางการเรียนรู้ในสาขาวิชานั้นต่อไป  มีการประมวลผลการเรียนรู้ของนักเรียน   เพราะฉะนั้นสื่อการสอนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน  (CAI ) จึงมีความจำเป็นในการเรียนรู้ของนักเรียนในยุคปัจจุบัน  เพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่อไป

โปรแกรมที่ใช้ในการจัดทำ  

โปรแกรม  AuthorWare    เวอร์ชั่น  6.5

วัตถุประสงค์ในการจัดทำ

1.  เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนและใช้ในการทบทวนรายวิชาเคมี เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียน  เรื่อง ก๊าซ ของเหลวและของแข็ง

2.  เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนให้เกิดผลสัมฤทธิ์และมีความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น

3.  เพื่อให้นักเรียนใช้ในการทบทวนเนื้อหาและทำข้อสอบเพิ่มเติม

4.  เพื่อเผยแพร่และพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่จัดทำให้เกิดประโยชน์ต่อคณะครูอาจารย์ต่อไป

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1.  นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องก๊าซ  ของเหลวและของแข็ง สูงขึ้น

2.  นักเรียนสามารถใช้สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ในการเรียนซ่อมเสริม หรือในเวลาที่ครูไม่สามารถที่จะมาเข้าสอนตามปกติได้ โดยนักเรียนเป็นผู้ศึกษาด้วยตนเอง

3.  เป็นประโยชน์แก่ครูผู้สอนรายวิชาเคมี ในเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยนำสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)  นี้ไปใช้ในโรงเรียนอื่น ๆ ได้

สมมุติฐานสำหรับการวิจัย

เมื่อนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5   ทดลองใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ เรื่อง ก๊าซ ของเหลวและของแข็ง  จะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการใช้สูงกว่าก่อนใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์

ขอบเขตของการวิจัย

1. การวิจัยพัฒนาครั้งนี้เป็นการสร้างและพัฒนาสื่อการสอนคอมพิวเตอร์  เรื่อง  ก๊าซ ของเหลวและของแข็ง รายวิชาเคมี  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5

2. ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนกระเทียมวิทยา             การศึกษา  2548

นิยามศัพท์ในการวิจัย

1. สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ (CAI )  หมายถึง  สื่อการสอนคอมพิวเตอร์ เรื่อง ก๊าซ  ของเหลวและของแข็ง  วิชาเคมี  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5

2. ประสิทธิภาพของสื่อ  หมายถึง  ผลการประเมินจากแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสื่อการสอนคอมพิวเตอร์

วิธีดำเนินการวิจัย

1. วางแผนการจัดทำสื่อการสอนคอมพิวเตอร์

2. ศึกษาหลักสูตรและวิเคราะห์เนื้อหารายวิชาเคมี  ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่  5  เรื่อง     ก๊าซ  ของเหลวและของแข็ง  จากหลักสูตรสถานศึกษา  หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์     คู่มือครู  หนังสื่อตำราต่าง  ๆ

3. รวบรวมข้อมูลการจัดทำสื่อการเรียนการสอน

4. วางแบบขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมระบบ

5. จัดทำสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

6. จัดทำแบบทดสอบและแบบสอบถาม

7. ใช้สื่อการสอนคอมพิวเตอร์กับกลุ่มทดลอง

8. ประเมินผลโดยแบบสอบถามและแบบทดสอบเพื่อหาผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอน

9. สรุปผลการจัดทำสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

10. ปรับปรุงและพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

กลุ่มตัวอย่าง

กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้คือ  นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่   5   จำนวน  40  คน                             โรงเรียนกระเทียมวิทยา   ปีการศึกษา  2548

......................................................................................................................................................................

บทที่  2

เอกสารและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง

การจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ  :  ยุทธศาสตร์สำคัญของการปฏิรูปการศึกษา

ความสำคัญของแนวคิด การจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญด้ปรากฏเป็นรูปธรรม ชัดเจนเมื่อกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดให้เป็นยุทธศาสตร์หลักของการปฏิรูปการศึกษาอีกทั้งแนวคิดนี้ยังสนองตอบและสอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542      ดังสาระที่ กำหนดไว้ในหมวด 1

หมวด 1  ความมุ่งหมายและหลักการของการศึกษาที่ว่า

การศึกษามีความสำคัญสูงสุด และมีบทบาทต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ฉะนั้นต้องจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ สติปัญญาความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข (มาตรา 5) 

และสาระในหมวด 4 แนวการจัดการศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนา  ผู้เรียนว่า  ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้  

ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ (มาตรา  22)  

สถานศึกษาต้องพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ  (มาตรา21) และ จัดกระบวนการเรียนรู้ โดยจัดเนื้อหาสาระ และกิจกรรมให้สอดคล้อง กับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล   ฝึกทักษะกระบวนการคิด  การจัดการ   การเผชิญสถานการณ์  และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกัน และแก้ไขปัญหาโดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ ทำเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (มาตรา 24)

จากความสำคัญของแนวคิดในการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญแนวทางการปฏิรูปของกระทรวงศึกษาธิการและสาระสำคัญของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติดังกล่าว            กรมสามัญศึกษาจึงได้กำหนดให้การพัฒนากระบวนการเรียนรู้  โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็น   ยุทธศาสตร์หลักในการปฏิรูปการศึกษา   ของโรงเรียนมัธยมศึกษาใน สังกัดกรมสามัญศึกษา      เพื่อให้การดำเนินงานปฏิรูปการศึกษาของโรงเรียน บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา  ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านจิตใจ  ร่างกาย  สติปัญญา และสังคม ให้เป็น “คนเก่ง คนดี และเรียนรู้อย่างมีความสุข” เพื่อให้สามารถพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคม ได้อย่างมีคุณภาพต่อไป

ความจำเป็นที่ต้องมีการปฏิรูปการศึกษาและการวิจัยในชั้นเรียน

การศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา “คน” อันเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของสังคมให้มีคุณภาพและลักษณะที่พึงประสงค์ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามยุคสมัยการศึกษาจึงต้องเป็นพลวัต นั่นคือต้องปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยและสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติและสังคมโลกอยู่ตลอดเวลาด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังนี้ 

1. กระแสของโลกาภิวัฒน์

ในสถานการณ์ปัจจุบันของสังคมไทย กระแสการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี การสื่อสารการคมนาคม การรับส่งข้อมูลและวิทยาการต่างๆ การแพร่ขยายของวัฒนธรรมข้ามชาติ รวมถึงการแข่งขันอย่างรุนแรงทางเศรษฐกิจและการค้าระดับโลกในระบบการค้าเสรี จากการที่ประเทศพัฒนาปัจจัยพื้นฐานต่างๆไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจความสามารถที่จะแข่งขันในตลาดโลกความสามารถที่จะรับถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาความรู้ความสามารถ และทักษะฝีมือแรงงาน  หรือการเตรียมคน ให้มีคุณภาทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ล้วนแต่ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในสังคมอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม (กรมสามัญศึกษา 2540 :2)

สภาพการณ์ดังกล่าวทำให้สังคมไทยต้องหันมาทบทวนการจัดการศึกษากันใหม่ เพื่อให้การศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน ให้ไปพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม  และการเมืองการปกครองของประเทศอย่างแท้จริงทำให้คนในชาติเป็นคนดีคนเก่ง มีความสุข และมีความเป็นไทย สามารถนำพาชาติบ้านเมืองรอดพ้นจากวิกฤติการณ์ไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้  การศึกษาที่ช่วยพัฒนาคน ให้มีความรู้ยุคโลกาภิวัตน์  จึงมีเป้าหมายของการจัดการศึกษาจะต้องมุ่งสร้างคน หรือผู้เรียน  ซึ่งเป็นผลผลิตโดยตรงของการศึกษาให้มีคุณลักษณะที่มีศักยภาพ และความสามารถที่จะพัฒนาตนเอง  และสังคมไปสู่ความสำเร็จได้  คุณลักษณะ ดังกล่าวประกอบด้วย

1. เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้มีคุณลักษณะใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง

2. การมีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า และคิดริเริ่มสร้างสรรค์

3. มีความสามารถที่จะรับถ่ายทอดและพัฒนาเทคโนโลยีได้อย่างสร้างสรรค์และเหมาะสม

4. การมีความสามารถในการแก้ปัญหา และเผชิหน้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ

5. การรู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ

6. ความตระหนักในการมีส่วนร่วมที่จะรักษาวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การปกครองระบอบประชาธิปไตย และคุณธรรมตามหลักศาสนา


2. การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียน :  ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้

การพัฒนาประชากรไทยให้มีคุณลักษณะดังกล่าวข้างต้น จะต้องใช้ยุทธศาสตร์การจัดการศึกษาที่มี ประสิทธิภาพ ทั้งนี้เป็นที่ยอมรับกันว่า การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ วิธีการสำคัญที่สามารถสร้างและพัฒนา “ผู้เรียน” ให้เกิดคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ต้องการในยุคโลกาภิวัฒน์ เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้ความสำคัญกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนเรื่องที่สอดคล้องกับความสามารถ และความต้องการของตนเอง และได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งแนวคิดการจัดการศึกษานี้ เป็นแนวคิด ที่มีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะเฉพาะดังกล่าวข้างต้นได้ผล

3. การจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ : ยุทธศาสตร์สำคัญของการปฏิรูปการศึกษา

ความสำคัญของแนวคิด การจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ได้ปรากฏเป็นรูปธรรมชัดเจนเมื่อกระทรวงศึกษาธิการได้กำหนด ให้เป็นยุทธศาสตร์หลักของการปฏิรูปการศึกษา อีกทั้งแนวคิดนี้ยังสนองตอบและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 ดังสาระที่กำหนดไว้ในหมวด 1 ความมุ่งหมายและหลักการของการศึกษาที่ว่า “การศึกษามีความสำคัญสูงสุด และมีบทบาทต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ ฉะนั้นต้องจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มี จริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข” (มาตรา 5 ) และสาระในหมวด 4 แนวการจัดการศึกษาซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาผู้เรียนว่า “ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ” (มาตรา 22) 

สถานศึกษาต้องพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ (มาตรา 21) และจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาเพื่อใช้ป้องกันและการแก้ไขปัญหา โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ ทำเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (มาตรา 24) 

4. เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู 

เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครูกำหนดให้ครูต้องพัฒนาวิชาชีพครู เข้าสู่เกณฑ์มาตรฐาน 11 มาตรฐาน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูต้องปรับพฤติกรรมการสอนจากเดิมให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐาน

5. มาตรฐานคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนสังกัดกรมสามัญศึกษาด้านผลผลิต (Output)

แนวคิดการประกันคุณภาพการศึกษาของโรงเรียน สังกัดกรมสามัญศึกษา ที่ยึดนักเรียนเป็นสำคัญของการพัฒนา การดำเนินงานต่าง ๆ ของโรงเรียน รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนของครู-อาจารย์ ต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียน อย่างมีดุลยภาพ และ นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน      โดยกำหนดมาตรฐานคุณภาพการศึกษาด้านผลผลิต (Output)ไว้จำนวน 10 มาตรฐาน ทุกมาตรฐานเป็นหน้าที่ของครู-อาจารย์ต้องมีส่วนรับผิดชอบจากความสำคัญของ แนวคิด ในการจัดการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  แนวทางการปฏิรูปของกระทรวงศึกษาธิการ และสาระสำคัญของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติดังกล่าว กรมสามัญศึกษาจึงได้กำหนดให้การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นยุทธศาสตร์หลัก ในการปฏิรูปการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา เพื่อให้การดำเนินงานปฏิรูปการศึกษาของโรงเรียน บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนทั้งด้าน จิตใจ ร่างกาย สติปัญญาและสังคม ให้เป็น   “คนดี คนเก่ง และเรียนรู้อย่างมีความสุข” เพื่อให้สามารถพัฒนาตนเองครอบครัว ชุมชน และสังคม ได้อย่างมีคุณภาพต่อไป

 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยในชั้นเรียน

การวิจัยจะเป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จของการปฏิรูปของการศึกษา ในปัจจุบันได้เกิดกระแสปฏิรูป การศึกษาที่มีการกล่าวถึงกันอย่างกว้างขวาง โดยมีการระบุถึงสิ่งที่ต้องปฎิรูปกันหลายประการด้วยกัน เช่นการปฏิรูปเพื่อการบริหารและการจัดการ การปฏิรูปครู คณาจารย์และบุคลากร ทางการศึกษา การปฏิรูปทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา การปฏิรูปเพื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นต้น แต่การปฏิรูปทั้งหลายที่กล่าวมานี้จะมีเป้าหมายเดียวกันก็คือ เพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งผู้ที่จะทำการปฏิรูปทางการศึกษาโดยเฉพาะในส่วนของการปฏิรูปการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จก็คือ ครู 

ผ.ศ.ดร. ไสว ฟักขาว (การวิจัยในชั้นเรียน . 2547 : 2-3 ) ยุทธศาสตร์ที่จะทำให้ครูที่เป็นผู้นำในการปฏิรูปการเรียนรู้นอกจากจะใช้การอบรมครูในรูปแบบต่างๆ ยังสามารถที่จะใช้การวิจัยในการจัดการเรียนการสอน หรือที่เรียกว่า การวิจัยในชั้นเรียน ซึ่งในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตราที่ 24 (5) ได้ระบุไว้ว่า “ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริม และสนับสนุนให้ผู้สอนจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และเครื่องอำนวยความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถที่จะใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ” 

การที่ผู้สอนจะกระทำในสิ่งที่ระบุไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้สอนจะต้องมีการใช้งานวิจัยเพื่อค้นคำตอบ ต่อไปนี้ 

1. การจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมอย่างไรเพื่อจะให้เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนในวิชาที่ตนเองรับผิดชอบ 

2. จะเลือกใช้สื่อการสอนอย่างไรจึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการพัฒนาการเรียนรู้และรอบรู้ อย่างที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตราที่ 24 (5)

3. การใช้เทคนิคการจัดการเรียนการสอนอย่างไร จึงจะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี และมีความรอบรู้ 

4. จะส่งเสริมนักเรียนอย่างไรให้นักเรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ในการประยุกต์การเรียนรู้ในชั้นเรียนกับการดำเนินชีวิตในสังคม

......................................................................................................................................................................


ดาวน์โหลดไฟล์ word แก้ไขได้ 

จากลิงค์ด้านล่างนี้ นะครับ




fullWidth
ใหม่กว่า เก่ากว่า